วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีการปลูกผักสวนครัว
1. การปลูกผักในแปลงปลูก มีขั้นตอน คือ
1.1 การพรวนดิน ใช้จอบขุดดินลึกประมาณ 6 นิ้ว เพื่อพรวนดินให้มีโครงสร้างดีขึ้น กำจัดวัชพืชในดินกำจัดไข่แมลงหรือโรคพืชที่อยู่ในดิน โดยการพรวนดินตากทิ้งไว้ประมาณ 7-15 วัน
1.2 การยกแปลง ใช้จอบพรวนยกแปลงสูงประมาณ 4-5 นิ้ว จากผิวดิน โดยมีความกว้างประมาณ 1-1.20 เมตร ส่วนความยาวควรเป็นตามลักษณะของพื้นที่หรืออาจแบ่งเป็นแปลงย่อยๆ ตามความเหมาะสม ความยาวของแปลงนั้นควรอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ทั้งนี้เพื่อให้ผักได้รับแสงแดดทั่วทั้งแปลง
1.3 การปรับปรุงเนื้อดิน เนื้อดินที่ปลูกผักควรเป็นดินร่วนแต่สภาพดินเดิมนั้นอาจจะเป็นดินทรายหรือดินเหนียว จำเป็นต้องปรับปรุงให้เนื้อดินดีขึ้นโดยการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตราประมาณ 2-3 กิโลกรัม ต่อเนื้อที่ 1 ตารางเมตร คลุกเคล้าให้เข้ากัน
1.4 การกำหนดหลุมปลูก จะกำหนดภายหลังจากเลือกชนิดผักต่าง ๆ แล้วเพราะว่าผักแต่ละชนิดจะใช้ระยะปลูกที่แตกต่างกัน เช่น พริก ควรใช้ระยะ 75 x 100 เซนติเมตร ผักบุ้งจะเป็น 5 x 5 เซนติเมตร เป็นต้น
2. การปลูกผักในภาชนะ
การปลูกผักในภาชนะควรจะพิจารณาถึงการหยั่งรากของพืชผักชนิดนั้นๆ พืชผักที่หยั่งรากตื้นสามารถปลูกได้ดีในภาชนะปลูกชนิดต่างๆ และภาชนะชนิดห้อยแขวนที่มีความลึกไม่เกิน 10 เซนติเมตร คือ
ผักบุ้งจีน คะน้าจีน ผักกาดกวางตุ้ง (เขียวและขาว) ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดหอม ผักกาดขาวชนิดไม่ห่อ (ขาวเล็ก ขาวใหญ่) ตั้งโอ๋ ปวยเล้ง หอมแบ่ง (ต้นหอม) ผักชี ขึ้นฉ่าย ผักโขมจีน กระเทียมใบ (Leek) กุยช่าย กระเทียมหัว ผักชีฝรั่ง บัวบก สะระแหน่ แมงลัก โหระพา (เพาะเมล็ด) กะเพรา (เพาะเมล็ด) พริกขี้หนู ตะไคร้ ชะพลู หอมแดง หอมหัวใหญ่ หัวผักกาดแดง (แรดิช)
วัสดุที่สามารถนำมาทำเป็นภาชนะปลูกอาจดัดแปลงจากสิ่งที่ใช้แล้ว เช่น ยางรถยนต์เก่า กะละมัง ปลอกซีเมนต์ เป็นต้น สำหรับภาชนะแขวนอาจใช้ กาบมะพร้าว กระถาง หรือเปลือกไม้
วิธีการปลูกผักในภาชนะแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
2.1 เพาะเมล็ดด้วยการหว่านแล้วถอนแยกหรือหยอดเป็นแถวแล้วถอนแยก ซึ่งพืชที่ควรปลูกด้วยวิธีนี้ ได้แก่
- ผักบุ้งจีน
- คะน้าจีน
- ผักกาดขาวกวางตุ้ง
- ผักกาดเขียวกวางตุ้ง
- ผักฮ่องเต้ (กวางตุ้งไต้หวัน)
- ตั้งโอ๋
- ปวยเล้ง
-ผักกาดหอม
- ผักโขมจีน
- ผักชี
- ขึ้นฉ่าย
- โหระพา
- กระเทียมใบ
- กุยฉ่าย
- หัวผักกาดแดง
- กะเพรา
- แมงลัก
- ผักชีฝรั่ง
- หอมหัวใหญ่
2.2 ปักชำด้วยต้น และด้วยหัว ได้แก่
- หอมแบ่ง (หัว)
- ผักชีฝรั่ง
- กระเทียมหัว (ใช้หัวปลูก)
- หอมแดง (หัว)
- บัวบก (ไหล)
- ตะไคร้ (ต้น)
- สะระแหน่ (ยอด)
- ชะพลู (ต้น)
- โหระพา (กิ่งอ่อน)
- กุยช่าย (หัว)
- กะเพรา (กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน)
- แมงลัก (กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน)
หมายเหตุ
มีบางพืชที่ปลูกด้วยหัว หรือส่วนของต้นก็ได้ ปลูกด้วยเมล็ดก็ได้
ดังนั้น จึงมีชื่อผักที่ซ้ำกันทั้งข้อ 1 และ 2
การหาทิศโดยการใช้เข็มทิศและการสังเกตจากธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
ลูกเสือ - เนตรนารี เวลาออกเดินทางไกลหรือเวลาที่ไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ การรู้จักทิศทางนั้นย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการเดินทาง เพราะว่าการที่ลูกเสือ - เนตรนารีออกสำรวจนั้น เส้นทางที่ใช้อาจจะไม่ตรงกับเส้นทางที่มีอยู่แล้วแต่อาจจะเดินออกนอกเส้นทาง เช่น ในป่า ขุนเขา ฯลฯ
ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องรู้จักทิศต่าง ๆ เพื่อจะได้ทำให้เรานั้นไม่หลงทางและรู้จุด หรือฐานซึ่งเราออกเดินทาง เข็มทิศ จึงจำเป็นในการเดินทางเพราะจะช่วยบอกทิศให้เราได้ แต่ถ้าเราไม่มีเข็มทิศแล้วนั้นก็สามารถที่จะสังเกตสิ่งแวดล้อมที่อยู่เองตามธรรมชาติได้ด้วย
การหาทิศโดยใช้เข็มทิศ
เข็มทิศอาศัยคุณสมบัติของแม่เหล็ก เข็มทิศถูกทำขึ้นโดยใช้แม่เหล็กแท่งเล็ก ๆ ติดกับแกนให้หมุนรอบได้โดยอิสระ บนหน้าปัดของเข็มทิศจะมีเครื่องหมายแสดงทิศและเลขบอกองศาของทิศต่าง ๆ ไว้ เพราะฉะนั้นปลายของแม่เหล็กจะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ
การหาทิศโดยวิธีการสังเกตสิ่งแวดล้อม
1. การสังเกตเถาวัลย์
โดยธรรมชาติของเถาวัลย์แล้ว ยอดเถาวัลย์ส่วนมากจะเลื้อยไปทางทิศตะวันออก เพื่อที่จะได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เสมอ ฉะนั้นเมื่อลูกเสือ - เนตรนารีรู้จักทิศตะวันออกแล้ว ทิศอื่น ๆ เราก็สามารถทราบต่อไปได้โดยการยืนตรงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้าง ทางซ้ายมือจะเป็นทิศเหนือ ทางขวามือจะเป็นทิศใต้ และข้างหลังก็คือทิศตะวันตก
2. สังเกตจากดวงอาทิตย์
ในกรณีที่ลูกเสือ - เนตรนารีหลงทาง และสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้นั้น
2.1 ฤดูหนาว จะสังเกตดวงอาทิตย์ได้โดยช่วงเช้าจะอยู่ทางทิศตะวันออกซึ่งจะค่อนไปทางทิศใต้เล็กน้อย ช่วงเย็นเราจะสังเกตเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้ก็แสดงว่าทิศนั้นเป็นทิศตะวันตก
2.2 ฤดูร้อน ในช่วงเช้าเราจะสังเกตเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย ตอนเย็นพระอาทิตย์จะตกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย
3. สังเกตดาว
3.1 ดาวเหนือ เป็นดาวฤกษ์ซึ่งขึ้นประจำที่ตรงทิศเหนือเสมอจะไม่เปลี่ยนแปลงไปทิศไหนเลย พร้อมกับดาวเหนือจะมีแสงสว่างพอที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ 3.2 กลุ่มดาวจระเข้ หรือกลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวพวกนี้ถือเป็นกลุ่มดาวฤกษ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นประจำอยู่ทางทิศเหนือ เราเองก็สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ จากการที่ดาวต่าง ๆ กลุ่มนี้ขึ้นเรียงกันเป็นกลุ่ม ทำให้มนุษย์เรามีจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ ชาวกรีกโบราณมีจินตนาการว่าเป็นรูปหมี แต่คนไทยเรากลับมีจินตนาการเป็นรูปจระเข้
วิธีการใช้ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่สามารถนำมาซักแล้วใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุทางความปลอดภัย จะประหยัดนำมา Recycle ใช้ใหม่ไม่ได้นะครับ รวมทั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์ถ้าได้ถอดกลางคันแล้ว ต้องทิ้งเลยครับ ดังนั้นจะต้องมีถุงยางมากกว่า1 อันเสมอไว้เป็นอะไหล่ ทีขับรถคุณยังมียางอะไหล่ แล้วใช้ถุงยางอนามัย ทำไมคุณไม่เตรียมอะไหล่ไว้ยามฉุกเฉินเช่น รั่ว หลุด แตก ล่ะครับ
การใช้ถุงยางอนามัยควรใช้ก่อนที่อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายจะสัมผัสกันเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสวมจะต้องให้อวัยวะเพศชานแข็งตัวเต็มที่แล้ว จะใส่เองก็ได้ หรือจะให้ฝ่ายหญิงค่อยๆ บรรจงสวมใส่ให้โดยถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเล้าโลมทางเพศก็ได้
ขั้นตอนการใช้ถุงยางอนามัยมีดังนี้
1. บรรจงฉีกซองอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบออกจากซองอย่างนิ่มนวล ระวังอย่าให้ถุงยางอนามัยสัมผัสกับเล็บหรือของประดับที่มีคม
2. ถุงยางอนามัยบรรจุในซองในลักษณะม้วนเป็นรูปวงแหวน ให้รอยม้วนอยู่ด้านนอก คลี่ถุงยางออกมาสัก 1 - 2 เซนติเมตร
3. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบกระเปาะ(ติ่งตรงปลาย)ไล่ลมออก น้ำมาครอบปลายอวัยวะเพศ (ถ้าหนังหุ้มยาว ต้องรูดขึ้นไปให้พ้นปลายหัว)
4. ใช้อีกมือรูดถุงยางขึ้นไปจนถึงโคน (อีกมือยังคงบีบปลายติ่งอยู่)
5. ถ้าใส่ถูกต้อง ตรงติ่งต้องแบนไม่มีลมอยู่ภายใน (ถ้าเป็นแบบปลายมา ต้องเหลือปลายถุงยางไว้สัก หนึ่งเซ็นติเมตร)ทั้งนี้เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยแตก
6. ถ้าความหล่อลื่นไม่พอ ก็สามารถทาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมได้ แต่ต้องหลังจากสวมใส่แล้ว และสารหล่อลื่นที่ใช้ ต้องเป็นสารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ หรือซิลิโคน เช่น ky - jelly อย่ามักง่าย ใช้วาสลินโดยเด็ดขาด เพราะวาสลินเป็นเจลที่มี petroleum เป็นส่วนประกอบ
7. หลังจากมังกรพ่นพิษ ห้ามรอดูผลงาน ห้ามแช่ ต้องรีบถอย ถอนสมอโดยเร็ว ก่อนที่นกเขาจะหลับ ไม่งั้นถุงยางจะหลุดค้างคาในถ้ำ
8. ตอนถอนสมอ มือต้องจับขอบปลายส่วนเปิดไว้ด้วย ไม่งั้นถุงยางอาจถูกหนีบออกแต่ตัว แต่เสื้อหลุดได้ และเมื่อออกมาแล้ว ต้องระมัดระวังมืออย่าไปโดนด้านนอกของถุงยางที่มีสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงอยู่ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (กรณีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา)
9. เมื่อถอดออกแล้ว จะทดสอบรอยรั่วได้โดยเอาไปรองน้ำจากก๊อกใส่ถุงยางที่ใช้แล้ว ถ้ารั่วก็จะเห็นได้
ภาพข้างล่างนี้ได้จากหนังสือหัตถการทางสูติศาสตร์และนรีเวช โดยศาสตราจารย์นายแพทย์เยื้อน ตันนิรันดร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำแนะนำ
1. ถุงยางอนามัยต้องบรรจุในซองซึ่งอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีรอยฉีกขาดหรือรอยรั่ว และยังไม่หมดอายุ
2. กระดาษทิชชู
ข้อควรระวัง
ถุงยางอนามัยบรรจุในซองที่รั่ว หรือหมดอายุ

คำแนะนำ
ใช้มือฉีกซองถุงยางอนามัย ให้สังเกตว่าถุงยางอนามัยยังอยู่ในสภาพดี (โดยคลี่ออกไม่เกิน 1 นิ้วฟุต)
ข้อควรระวัง
ใช้กรรไกรหรือมีดตัดซองถุงยางอนามัย อาจทำให้ถุงยางอนามัยขาด

คำแนะนำ
1. สวมถุงยางอนามัย เมื่ออวัยวะแข็งเต็มที่
2. จับถุงยางอยามัยด้านที่จะรูดอยู่ด้านนอก โดยคลี่ถุงยางอนามัย ไม่เกิน 1 นิ้วฟุต
ข้อควรระวัง
1. สวมถุงยางตอนยังไม่แข็งเต็มที่
2. จับถุงยางอนามัยผิดด้าน

คำแนะนำ
บีบกระเปาะถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลม ต้องบีบไว้จนใส่ถุงยางอนามัยเสร็จ
ข้อควรระวัง
อย่าลืมบีบไล่ลมนะครับ

คำแนะนำ
ใช้มืออีกข้างรูดคลี่ถุงยางออกจนสุดถึงโคน โดยต้องปล่อยให้มีที่ว่างสุญญากาศระหว่างปลายอวัยวะกับกระเปาะถุงยาง
ข้อควรระวัง
ไม่ต้องรูดจนสุดกระเปาะจนไม่มีช่องว่าง

คำแนะนำ
1. ภายหลังหลั่งน้ำอสุจิแล้ว ให้รีบถอนอวัยวะออก พร้อมจับขอบตรงโคนด้วย ไม่งั้น ตัวออกแต่ปลอกค้างข้างใน
2. ใช้กระดาษทิชชูพันรอบโคน โดยไม่ให้สัมผัสกับน้ำจากช่องคลอด แล้วรูดถุงยางออกโดยอาจใช้นิ้วเกี่ยวด้านในของขอบถุงยาง
ข้อควรระวัง
1. อย่าหลับจนปล่อยให้อวัยวะอ่อนตัว
2. ระวังน้ำจากช่องคลอดเปื้อนมือหรืออวัยวะ

คำแนะนำ
1. การทิ้งควรทิ้งในถังขยะ หรือที่ระบุให้ทิ้ง หรือจะเอาไปเผา หรือฝังก็ได้
2. อย่าทิ้งลงชักโครก ชักโครกจะตันได้
ข้อควรระวัง
ระวังน้ำจากช่องคลอดเปื้อนมือหรืออวัยวะ
แพ้ถุงยางอนามัย
การแพ้ถุงยางอนามัย เกิดได้ แต่ไม่บ่อยนัก (ราว 7 %) อาจเกิดจากการแพ้โปรตีนในตัวยางธรรมชาติ หรือสารที่ผสมเพื่อผลิตยางธรรมชาติ หรือแพ้สารเคมีที่นำมาเคลือบถุงยางก็ได้ อาการแพ้ก็เหมือนการแพ้แบบสัมผัสทั่วๆไป คือมีผื่น คัน ระคายเคือง เป็นได้ทั้งชายและหญิง
กรณีที่แพ้ตัวยางธรรมชาติ ก็มีถุงยางอื่นให้เลือก เป็นถุงยางพลาสติก คือไม่ได้ทำจากยางธรรมชาติ แต่ทำจาก polyurethane
โดย....... นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ
[ ที่มา... http://www.clinicrak.com ]
ทางเวบคอนดอมไทยมีวิธีใส่ถุงยางแบบใหม่มาให้เพิ่มเติมค่ะ สำหรับมัดใจสามี ....!!!
การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
(Microsoft Windows)
เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม่
2. ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ
3. ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )
4. เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ
5. จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง
6. ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)
7. จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้
การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start
2. เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down
3. คลิ๊กปุ่ม Ok
4. รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
5. จากนั้นเครื่องจะดับเอง
6. ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วย
ส่วนประกอบของหน้าจอภาพเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อยแล้ว
1. ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)
2. ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ
3. ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่ม Start ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆ
การกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse) เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ (Scroll Bar) ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ
1. คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ
2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ
3. แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ
4. คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)
การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ
2. เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
3. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
4. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator
5. จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)
6. กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับ
การปิดโปรแกรม เครื่องคิดเลข
1. ที่หน้าต่างเครื่องคิดเลข (Calculator) ตรงด้านบน ขวา มือจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม
2. ให้เลื่อนเม้าส์ ไปที่ปุ่มที่ 3 ทางขวามือ (ปุ่มจะเป็นรูป กากบาท X ) เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปวางจะมีคำว่า Close
3. คลิ๊ก 1 ครั้ง เครื่องก็จะปิดหน้าต่างโปรแกรมเครื่องคิดเลขไป
การขยายหน้าต่างของโปรแกรมให้เต็มจอภาพ (Maximize)
1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊ก ปุ่มที่สอง เครื่องจะมีข้อความขึ้นมาว่า Maximize (แต่ถ้าหน้าต่าง ถูกขยายขึ้นมาอยู่แล้ว คำจะเปลี่ยนเป็น Restore ถ้าคลิ๊กลงไปจะกลายเป็นหน้าต่าง ขนาดปกติครับ)
2. จากนั้นเครื่องจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอ ส่วนใหญ่เราจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอเพื่อให้เห็นรายละเอียดในหน้าต่างมากขึ้นครับ
การลดขนาดหน้าต่างเป็น Icon ลงใน ทาสบาร์ หรือ การซ่อนหน้าต่าง (Minimize)
1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊กปุ่มที่เป็นขีด ลบ ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางจะขึ้นคำว่า Minimize
2. คลิ๊กลงไป 1 ครั้ง เครื่องก็จะซ่อนหน้าต่าง ลงไปไว้ด้านล่างตรงทาสบาร์
3. ที่ทาสบาร์จะมีคำเป็นลักษณะปุ่มเขียนว่า ซ่อนโปรแกรมอะไรไว้
4. แต่ ถ้าอยากเรียกขึ้นมาใช้งานตามเดิม ให้คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างที่ทาสบาร์ที่เราซ่อนเอาไว้ เครื่องก็จะเปิดหน้าต่างโปรแกรมที่เราซ่อนเอาไว้ ขึ้นมาใช้งานได้ตามเดิม
การปิดโปรแกรมที่ทำให้เครื่องเกิดอาการแฮงค์ (Hang) อาการแฮงค์ คืออาการที่เราอาจจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาหลายโปรแกรม แล้วทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานไม่ทัน หรือเราอาจจะคลิ๊กเม้าส์หลายครั้ง ในขณะที่เครื่องกำลังประมวลผลอยู่ จนเครื่องทำงานไม่ทัน เลยเกิดอาการแฮงค์ ซึ่งอาการแฮงค์นี้จะทำให้เราไม่สามารถคลิ๊กอะไรที่จอภาพได้เลย วิธีการแก้ไขเบื้องต้นคือ
1. ที่แป้นพิมพ์ ให้เรากดปุ่ม Ctrl + Alt ค้างไว้ แล้วอีกมือหนึ่ง กดปุ่ม Delete แล้วปล่อย
2. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง Task Manager ขึ้นมา
3. จากนั้น เราคลิ๊กที่โปรแกรมที่เราคิดว่าทำให้เครื่องแฮงค์
4. ด้านล่าง คลิ๊กที่ปุ่ม End Task เครื่องจะปิดโปรแกรมนั้นทิ้งไป
5. ถ้าไม่มีการปิดโปรแกรมอื่นอีก ก็ให้เลือกปุ่ม Cancel ออกมา
อันตรายจากการใช้ยา
1. การดื้อยาและการต้านยา (Drug Resistance and Drug Tolerance)
การดื้อยา เป็นภาวะที่เชื้อโรคต่างๆที่เคยถูกทำลายด้วยยาชนิดหนึ่งๆ สามารถปรับตัวจนกระทั่งยานั้นไม่สามารถทำลาย ได้อีกต่อไป เชื้อโรคที่ดื้อยาแล้วจะสามารถถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ไปยังเชื้อโรครุ่นต่อไป ทำให้การใช้ยาชนิดเดิมไม่สามารถ ใช้ทำลายหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาให้ครบตามขนาดของยาที่แพทย์กำหนดและไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ตัวอย่าง
ยาที่มักเกิดการดื้อยาได้แก่ ยาต่อต้านเชื้อ (Antibacterals) เช่น ยาซัลฟา เพนนิซิลิน เตตราไซคลิน สเตร็บโตไมซิน เป็นต้น
การต้านยา มีความหมายคล้ายการดื้อยา แต่การต้านยามีผลมาจากร่างกายของผู้ใช้ยา ไม่ใช่เป็นการปรับตัวของเชื้อโรค
ร่างกายจะสร้างเอ็นไซม์หรือใช้ระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
ก่อให้เกิดอาการติดยา เช่น บาร์บิทูเรท มอร์ฟีน เป็นต้น
2. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence)
การใช้ยาในทางที่ผิด หมายถึง การนำยามาใช้ด้วยตนเอง และนำยามาใช้โดยมิใช่เป็นการรักษาโรค เป็นการใช้ยาไม่
ถูกต้อง และไม่ยอมรับในทางยา
การติดยา มักเป็นผลจากการนำยามาใช้ในทางที่ผิด เช่น แอมเฟตามีน เพื่อกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกแจ่มใส ไม่ง่วง
หรือเพื่อลดความอ้วน เมื่อใช้ติดต่อกันนานๆจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ให้มีความต้องการยาอยู่เสมอ และปริมาณ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าขาดยาอาจทำให้ถึงตายได้ เช่นเมื่อติดยาแอเฟตามีน จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และเสียชีวิต
เพราะอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
3. การแพ้ยา (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ร่างกาย
จะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านยาชนิดนั้น เมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีก ตัวยาจะไปทำปฏิกิริยากับภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิด
การแพ้ยา โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ช็อก หอบ หืด คัดจมูก ไอจาม ลมพิษ โลหิตจาง หรืออาจเสียชีวิตได้
จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์
4. ผลค้างเคียง (Side Effect) เป็นอาการปกติทางเภสัชวิทยาที่เกิดควบคู่กับผลทางรักษาทางยา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน และ
มีความรุนแรงต่างกัน เช่น การใช้แอนทีฮีสตามีน มีผลในการลดน้ำมูก ลดอาการแพ้ แต่อาจมีผลค้างเคียงคือ ทำให้
ง่วงนอน ซึมเซา ควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร และการขับรถ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย
5. พิษของยา (Toxic Effect) เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นพิษเป็นผลของยาที่ใช้ ถ้ายังเพิ่ม
ขนาดใช้ยา อาการพิษก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอวัยวะนั้น ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใช้ยาในระยะเวลานานติดต่อกัน แม้
จะใช้ในขนาดปกติ ก็เกิดเป็นพิษได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถ้าใช้นาน ๆ
หรือขนาดสูง ๆ โรคโลหิตจางและโรคติดเชื้อได้ง่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบไหล
เวียนของโลหิต นอกจากนี้ยาบางชนิดซึ่งมารดาใช้ขณะตั้งครรภ์ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์ขั้นรุนแรงได้
การเสื่อมและหมดอายุของยา
ยาทุกอย่างมีการเสื่อมอายุได้ทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะเปลี่ยนไปเป็นสารที่มีอันตรายโดยตรง หรืออาจไม่มีอันตรายโดยตรง แต่ทำให้ความรุนแรงของยาลดลง ซึ่งอาจทำให้รักษาโรค หรืออาการไม่ได้ผลเต็มที่ และเชื้อโรคดื้อยา จึงควรสังเกตการเสื่อมของยา เช่น
1. สังเกตกำหนดวันหมดอายุที่ภาชนะบรรจุยา โดยใช้คำว่า Exp. หรือ Exp.Date หรือ Used Before หรือ Potency Guaeanteed to. แล้วตามด้วยวัน เดือน ปี
2. ยาที่ไม่ได้บอกวันหมดอายุที่ภาชนะบรรจุของยา อาจบอกวันผลิต โดยใช้คำว่า Mfd.Date หรือ Manfd.Date หรือ Manu.Date แล้วตามด้วยวัน เดือน ปี และอาจบอกระยะเวลาของคุณภาพยาไว้ หากไม่กำหนดไว้ไม่ควรใช้ยาที่เก็บไว้นานเกิน 5 ปี
3. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของยา เช่น ลักษณะสี กลิ่น รส เป็นต้น
นอกจากนี้ในการซื้อยาด้วยตนเอง เราอาจได้รับยาปลอม หรือยาผิดมาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน
อันตรายที่เกิดจากการใช้ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ
ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ เป็นยาที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าห้ามผลิต ห้ามนำเข้า และห้ามขาย หากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากการใช้ยาที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานนั้น จะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ยาที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน พอจะสรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้
1. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยาน้อยกว่าที่ควร หรือไม่มีตัวยาเลย ก็จะทำให้ปริมาณยาที่ได้รับนั้นน้อยจนไม่มีผลในการรักษา จะทำให้โรคไม่หายเกิดลุกลามมากขึ้น ถ้าเป็นโรคร้ายแรงอาจถึงตายได้ และถ้าเป็นยาปฏิชีวนะก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยา การรักษาจะยุ่งยากมากขึ้น
2. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยามากเกินไป ก็จะทำให้เสี่ยงต่อพิษภัยของยามากขึ้น
3. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยาเป็นยาอื่น ก็จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล เช่นเดียวกับได้รับยาที่ตัวยาน้อยและยังอาจได้รับพิษจากยาที่ปนปลอมมาอีกด้วย
4. ยาที่หมดอายุ นอกจากจะไม่มีฤทธิ์ในการรักษาแล้ว ยาที่หมดอายุแล้วบางตัวยังเป็นพิษต่อร่างกายด้วย เช่น เตตราซัยคลิน ที่หมดอายุจะเป็นพิษต่อไต
5. ยาที่เปลี่ยนแปลงสภาพไปไม่ควรใช้ เช่น แอสไพรินที่เก็บไว้นาน ๆ จะมีผลึกของกรดซาลิซิลิค ซึ่งมีความเป็นกรดสูง ระคายเคืองกระเพาะมาก และไม่ให้ผลในการบรรเทาปวดลดไข้
ข้อแนะนำในการหลีกเลี่ยงการใช้ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ ก็คือซื้อยากับเภสัชกรโดยตรง ไม่ซื้อยาที่บรรจุในภาชนะที่ไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษัทก็ซื้อยากับเภสัชกรโดยตรง ไม่ซื้อยาที่บรรจุไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษัทผู้ผลิต หมายเลขทะเบียนยา ไม่ซื้อยาชุด ยาที่มีลักษณะไม่น่าไว้วางใจ และยาที่มีผู้นำมาเร่ขาย

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีทรมาน แมลงสาบ อย่าง สุดโหด ( โรค จิต )>ขั้นตอนการทรมานแมงสาบ...>เริ่มด้วย ถ้าพบเห็นมันวิ่งพล่านภายในบ้าน>ให้เราวิ่งไปหยิบแก้วที่ไม่ค่อยใช้แล้ว>จากนั้นอาศัยจังหวะที่มันเผลอ>รีบเอาแก้วครอบมันอย่างรวดเร็ว>ถ้าแม้ว่าจะทับขามันซักข้างก็คงไม่เป็นไร . . . สม!!>แล้วทำการเขย่าถูไปถูมากับพื้น>โดนที่ปากแก้วต้องคว่ำอยู่ ห้ามให้มันหนีออกมาได้เด็ดขาด>มันจะเริ่ม ฉงนงงงวยจากการที่เราใส่อารมกับมันมากไป>จะทำให้ปากแก้วทับขามันอีกซัก สอง ข้าง ก็ไม่เป็นไร>ช่างมันไม่ต้องไปสนใจ และให้รีบวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ทรมานดังต่อไปนี้>>1.น้ำหอม>2.กาวยาง (อนุโลมให้ใช้กาวลาเท๊กขวดละ 5 บาท ได้)>3.ไปก้อนเขียว>4.เทียนไข พร้อมไม้ขีดไฟ>5.แป้งเย็นตรางู>6.*สำคัญมาก คือ กระจกเงา>>เอาล่ะ...เมื่อได้ของท! ี่เราต้องการมาพร้อมแล้ว>ไอ้ช่วงที่เราไปเตรีมอุปกรณ์เนี่ย เจ้าแมงสาบมันคงตะเกียกตะกาย>เพื่อหาทางออกอย่างสุดชีวิต ตามสัญชาติญาณของมัน>จนกระทั่งมันท้อแท้กับชีวิต หมดสิ้นหนทางที่จะดิ้นรนต่อไป>พูดง่ายๆตามภาษาแมงสาบ "เมิงฆ่ากูซะเหอะ">เท่านี้เราก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรมันมาก>เนื่องจากมันหมดเรี่ยงแรงที่จะต่อสู้ขัดขืนแล้ว>ซ้ำยังพิการจากการที่ถูกปากแก้วทับขามันอีก...ฮี่ ๆ ๆ>เอาล่ะ เริ่มการทรมานได้>>เอากาวยาว(ลาเท๊ก) หยอดลงบนพื้นข้างๆแก้วที่ปิดมันไว้>บรรจงหยดให้มีปรืมาณเท่าๆกับตัวของแมงสาบโง่ตัวนั้น>แล้วค่อยๆเลื่อนแก้วมาครอบกาวที่เราหยดไว้>ทีนี้มันจะพยายามขัดขืนเฮือกสุดท้ายนิดนึง ด้วยการดิ้น ๆ ๆ>จนมันไปติดกาวที่เราหยดไว้...>ทันทีที่มันติด ให้เราค่อยๆแง้มปากแก้ว>เพื่อที่ให้มันดีใจขึ้นมานิสสสนึงแล้วดิ้นเฮือกสุดท้าย>แต่มันสายไปเสียแล้ว ร่างของมันทุกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา>จากนั้นบรรจงฉีดไปก้อนเขียวเข้าไปนิดนึง ...ย้ำ นิดเดียว>เอาแค่พอมึนๆ ทิ้งไว้ซักระยะ (กะว่ามันคงอยากจะอวกเต็มที)>เราก็ฉีดน้ำหอมเข้าไปเป้นการปลอบใจ...>ช่วงนี้เ! ราจะเห้นหน้าของมันยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์>หารู้ไม่ว่า... ตอนนี้มันไม่สามารถขยับไปไหนได้อีกแล้ว>เพราะกาวจะแห้งพอดิบพอดี...>ตอนนี้ก็เอาแก้วที่ครอบออกได้เลย>เป้นการปลดปล่อยพันธนาการให้กับมัน>ตอนนี้เราจะเห็นมันพยายามที่จะลุกขึ้น... ฮ่าๆๆ>เสียใจโว้ยยย ขยับไม่ได้ล่ะซ๊... ฮี่ๆๆ>ถ้าสังเกตดีๆท่านจะเห้นน้ำตาคลอเบ้า ตาแดงกล่ำ>ด้วยความแค้นสุดๆ . . .เราจึงค่อยๆ>ช่วยให้มันร้องไห้ออกมาได้อย่างเต็มที่>ด้วยน้ำตาเทียน. . . ใช่ครับ จุดเทียนที่เราเตรียมมา>แล้วค่อยๆหยดลงบนตัวมัน ทีละหยด ทีละหยด...อิ อิ>หยดแรกที่แทรกผ่านอากาศ และด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก>ลงไปกระทบที่ตัวมัน ดัง (แปะ)>คุณจะเห้นอาการปวดแสบปวดร้อนดิ้นทุรนทุรายของมัน>เนื่องจากน้ำตาเทียนจะร้อนมาก (ไม่เชื่อลองหยดใส่แขนสิ)>แต่เราจะมีวิธีช่วยให้มันหายร้อน ด้วย แป้งตรางู... หึ หึ>โรยมันลงไปเลยครับ คิดว่าเหมือนคุณโรยพริกไทยลงในกระเพราะปลานั่นแหล่ะ...>คุณจะเห็นมันสบัดหน้า เนื่องจากแป้งเข้าตา ... 555+>เหมือนรายการระเบิดเถิดเทิงเลยครับ...>ตัวขาวไปหมด น่ารักน่าชังซะนี่กะไร...แล้วมันก็จะตรอมใจตายในที่สุด>เมื่อเห็นสารรูปตัวเองในกระจกเงา>5555555555555555555555555555555555555+GETมั้ย

วิธีการเล่นกีฬาแชร์บอล
การเล่นแชร์บอลประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย ๆละ 7 คน โดยมีผู้เล่นสำรองอีกฝ่ายละ 5 คน ซึ่งไม่ได้แบ่งหน้าที่กันอย่างเด่นชัดเหมือนกีฬาชนิดอื่น เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ผู้เล่นที่ดูว่าจะมีตำแหน่งเฉพาะตัวอยู่จะเห็นจะเห็นได้แก่ผู้เล่นที่ทำหน้าที่ถือตระกร้า เละผู้ที่ป้องกันตระกร้าเท่านั้นที่เหลืออีก 5 คนต่างคนต่างฟทำหน้าที่ของตนไป จะขอกล่าวถึงตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละคนดังนี้1.ผู้ถือตะกร้า ผู้ถือตะกร้าเป็นผู้มีหน้าที่รับลูกบอลซึ่งผู้เล่นฝ่ายเดียวกันเป็นผู้ดยนอาจเรียกว่า ยิงประตูลงตะกร้า เพื่อนทำคะแนน ผู้ถือตะกร้าจะยืนอยู่บนเก้าอี้ 4 ขา ถือตะกร้า 1 ใบ ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้องเป็นผู้ที่มีสายตาดีรับลูกด้วยตะกร้าได้อย่างแม่นยำ มีการทรงตัวดีมาก ผู้ถือตะกร้าจะรับลูกบอลในลักษณะใดก็ได้ที่ไม่เป็นการรบกวนหรือกีดกันการป้องกันตะกร้า2.ผู้ป้องกันตะกร้า ผู้ป้องกันตะกร้าเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่มีสิทธิเข้าไปเล่นในเขคตป้องกันตะกร้าได้และยังสามารถออกมาร่วมเล่นได้เช่นเดียวกับผู้เล่นคนอื่นๆในสนาม ผู้ป้องกันตะกร้ามีหน้าที่คอยกระโดดปัดลูกที่ฝ่ายตรงข้ามโยนหรือยิงประตูให้ลงตะกร้า เมื่อสามารถแย่งลูกมาไว้ในครอบครองได้แล้ว ผู้ป้องกันตะกร้าจะต้องส่งลูกไปให้ผู้เล่นฝ่ายเดียวกัน ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้องมีรูปร่างสูง แขนยาว กระโดดได้สุง ส่งลูกได้แม่นยำ มีกำลังแขนดี สามารถส่งลูกไปในระยะไกลได้ด้วย3.ผู้เล่นทั้ง 5 คน ผู้เล่นอีก 5คนที่ลงสนาม แต่ละคนในทีมไม่มีตำแหน่งหน้าที่เด่นชัดเนื่องจากีฬาแชร์บอลเล่นกันภายในสยามไม่กว้างนัก ทุกคนสามารถสลับเปลี่ยนตำแหน่งช่วยกันรับลูกและส่งลูกบอลเพื่อบยิงประตู โดยอาศัยการฝึกฝน มีระบบและแผนการเล่นที่สัมพันธ์กันเป็นอย่างดี พร้อมที่จะวิ่งเพื่อนรับเละส่งลูกไปในบริเวรสนามได้ทุกขณะ ผู้เล่นทั้ง 5 คนจึงต้องมีสมรรรถภาพกายที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง ความเร็ว ความไว ความอ่อนตัวสามารถรับและส่งลูกบอลรวมทั้งยิงประตูได้อย่างแม่นยำก็จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบคู่แข่ง